ในขณะที่โลกการเงินเปลี่ยนจากปี 2566 ที่วุ่นวายไปสู่ปีใหม่ 2567 โลกการเงินกำลังยืนอยู่ที่หน้าผาของยุคใหม่ที่ถูกนิยามโดยความยืดหยุ่นและการพลิกผันที่ไม่คาดคิด ในช่วงท้ายของปี 2566 หุ้นยุโรปสามารถดีดตัวขึ้นได้อย่างน่าประทับใจถึง 12.64% เมื่อเทียบเป็นรายปี สวนทางกับการปรับลดลงในปีที่แล้ว ฟากฝั่งสหรัฐอเมริกา Wall Street เองก็แสดงให้เห็นความแข็งแกร่ง โดย S&P 500 ขยับเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังปรับตัวขึ้นมายาวนานกว่า 2 เดือน ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ฟื้นตัวจากจุดตกต่ำของปีที่แล้ว ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในปีที่ดีที่สุดในรอบสองทศวรรษของ Nasdaq ตอกย้ำการกลับมาอย่างน่าทึ่งของหุ้นเทคโนโลยี ท่ามกลางสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกยังต้องเผชิญกับเรื่องราวที่หลากหลายทั้งอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เราค่อนข้างมีมุมมองเชิงบวกที่ค่อนข้างซับซ้อนในปี 2567 แต่ก็ยังต้องใช้ความระมัดระวัง

สรุปประเด็นที่ควรจับตา:

  • หุ้นยุโรปทำผลงานได้อย่างโดดเด่น: ดัชนี Stoxx 600 ปิดปี 2023 ด้วยการปรับตัวขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 12.64% แสดงให้เห็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากที่ปรับตัวลดลง 12.9% ในปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสภาวะตลาดในภูมิภาคที่กำลังฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
  • ตลาดสหรัฐฯ ปิดปีได้อย่างมั่นคง: ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกาแสดงถึงเสถียรภาพแม้แต่ในวันซื้อขายวันสุดท้ายของปี โดยดัชนียังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี 2023 ซึ่งความมั่นคงนี้บ่งบอกถึงความยืดหยุ่นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ท่ามกลางสัญญาณทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี
  • ดัชนี DAX ของเยอรมนีพุ่งขึ้นอย่างน่าประทับใจ: ดัชนี DAX ของเยอรมนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ในช่วงปี 2023 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดและการมองโลกในแง่ดีของนักลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมัน ถึงแม้ว่าประเทศยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคทางมากมายทางด้านเศรษฐกิจก็ตาม
  • ตลาดฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม: ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสและ FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.4% และ 3.64% ตามลำดับ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เน้นย้ำถึงโมเมนตัมเชิงบวกในตลาดหุ้นยุโรป ถึงแม้ว่าตลาดฝรั่งเศสจะทำผลงานได้เหนือกว่าสหราชอาณาจักรอย่างมีนัยสำคัญ
  • การปรับลดลงของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบเป็นรายปีปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปรับลดลงจาก 6.4% ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ 3.1% ภายในเดือนพฤศจิกายน 2023 ซึ่งการที่อัตราเงินเฟ้อปรับลดลงในครั้งนี้บ่งบอกถึงนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพและเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ
  • เงินเฟ้อในยูโรโซนและสหราชอาณาจักรปรับตัวลดลง: อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนและสหราชอาณาจักรปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนลดลงเหลือ 2.4% จากเดิม 8.5% ส่วนสหราชอาณาจักรลดลงเหลือ 3.9% จากเดิม 10.1% ซึ่งการที่เงินเฟ้อลดลงอย่างมากอาจส่งผลให้เกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาค
  • ปีที่ยอดเยี่ยมของ Nasdaq: ดัชนี Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 43% ในปี 2023 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปีที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบสองทศวรรษ การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาคเทคโนโลยี
  • การฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยี: ดัชนี Nasdaq ปรับตัวสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 43% ในปี 2566 ถือเป็นการดีดตัวขึ้นอย่างสวยงามหลังจากที่ดิ่งลงถึง 33% ในปี 2565 นำโดยหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ เช่น Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Nvidia ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 239%
  • ความเคลื่อนไหวของตลาดที่อยู่อาศัยในสหราชอาณาจักร: ราคาบ้านในสหราชอาณาจักรปรับตัวลดลง 1.8% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้จะเป็นการปรับตัวลดลงที่ถือว่ามีนัยสำคัญ แต่ก็ยังต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ช่วงต้นปี 2566 ว่าราคาบ้านจะลดลงมากถึง 10% ซึ่งแสดงให้เป็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยในสหราชอาณาจักรยังคงมีเสถียรภาพ

ฟอเร็กซ์วันนี้:

  • USD ยังคงมีเสถียรภาพท่ามกลางสัญญาณทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย: ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อ้างอิงจากดัชนีดอลลาร์ (DXY) มีความผันผวนเล็กน้อยที่ระดับ 104.30 ถึงแม้จะต้องเผชิญกับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่หลากหลายจากทั่วโลก แต่ค่าเงิน USD ก็ยังรักษาเสถียรภาพไว้ได้ โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ลดลงเล็กน้อยจาก 4.23% มาอยู่ที่ 4.20%
  • แนวโน้มเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 3.1% ในเดือนพฤศจิกายน จากเดิม 6.4% ในเดือนมกราคม ส่วนอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนก็ลดลงมาอยู่ที่ 2.4% จากเดิม 8.5% และของสหราชอาณาจักรลดลงเหลือ 3.9% จากเดิม 10.1% ซึ่งการที่เงินเฟ้อปรับตัวลดลงนี้ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดหวังว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยเครื่องมือ FedWatch ของ CME ระบุว่ามีความน่าจะเป็น 72.8% ที่ Fed อาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024
  • ค่าเงิน GBP เผชิญกับปัจจัยที่หลากหลาย: ค่าเงินปอนด์อังกฤษต้องเผชิญกับความท้าทายจากราคาบ้านที่ลดลง 1.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ผิดไปจากที่คาดการณ์กันไว้ช่วงต้นปีว่าราคาบ้านจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งแนวโน้มราคาบ้านในปัจจุบันจะเพิ่มความซับซ้อนให้กับการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษในปีนี้
  • การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วยให้ NASDAQ พุ่งขึ้นอย่างน่าประทับใจ: หลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากในปี 2565 ดัชนี NASDAQ ที่เน้นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีก็ฟื้นตัวได้อย่างน่าประทับใจถึง 43% ในปี 2566 ซึ่งการพุ่งขึ้นนี้นำโดยราคาหุ้นของบริษัทชั้นนำ เช่น Nvidia และ Meta บริษัทแม่ของ Facebook ที่ปรับสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ดัชนี NASDAQ อยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2564 เพียง 6.5% เท่านั้น
  • ความพยายามในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินหยวนของจีน: แนวทางของจีนในการรักษาเสถียรภาพของเงินหยวนแตกต่างจากในอดีตอย่างมาก แทนที่จะมีการแทรกแซงโดยตรงเช่นในปี 2015 แต่ครั้งนี้ธนาคารประชาชนจีน (PBOC) และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ใช้วิธีให้คำแนะนำกับตลาด และใช้ธนาคารของรัฐในการเข้าซื้อสินทรัพย์เพื่อควบคุมค่าเงินหยวนแทนเพื่อไม่ให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศร่อยหรอ ซึ่งแม้วิธีนี้แม้จะมีประสิทธิภาพในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวน แต่ก็ทำให้ปริมาณการซื้อขายลดลงจนทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับบทบาทของเงินหยวนในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก
  • แนวโน้มตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และสถานะ Safe-Haven ของทองคำ: ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงทองคำและโลหะเงินมีสัญญาณของการฟื้นตัวหลังจากการปรับตัวลดลงมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ลดลง รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า นอกจากนี้สถานะสินทรัพย์ปลอดภัยของทองคำน่าจะได้รับการยอมรับต่อไปในปี 2567 หลังจากที่เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์รวมถึงความตึงเครียดของภาคธนาคารในปี 2566 ที่ผ่านมา
  • วิเคราะห์ค่าเงิน GBP ของสหราชอาณาจักรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน: GBP เข้าสู่ปี 2567 อย่างแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับ USD จากสัญญาณแนวโน้มนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ ในส่วนธนาคารกลางอังกฤษก็ต้องเผชิญความท้าทายในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจโดยไม่ทำให้อัตราเงินเฟ้อลุกลาม ซึ่งตลาดคาดกันว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2567 หรืออาจเปลี่ยนแปลงได้ตามแนวโน้มเงินเฟ้อในขณะนั้น
  • แนวโน้มหุ้นสหรัฐ: ดัชนี S&P 500 และ NASDAQ แสดงถึงภาพทางเทคนิคที่แข็งแกร่งในปี 2566 โดย S&P 500 เข้าใกล้ระดับสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อเดือนมกราคม 2565 ส่วน NASDAQ ก็อยู่ในจุด new high ที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน ทำให้แนวโน้มในปี 2567 ค่อนข้างดูดีพอสมควร ถึงแม้จะต้องใช้ความระมัดระวังอยู่บ้าง โดยในปีนี้ควรจับตาการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีว่าสามารถโตได้ต่อเนื่องหรือไม่ รวมถึงผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของตลาดน้ำมันดิบ: ราคาน้ำมันมีความผันผวนตลอดทั้งปี 2566 โดยแตะระดับสูงสุดในเดือนกันยายน แต่ลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น ซึ่งการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ เช่น จีน ที่ออกมาไม่ดีนักส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด ทำให้ตลาดน้ำมันในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะสร้างสมดุลในด้านกำลังการผลิตและการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ทั่วโลก โดยมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน

เรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อเริ่มต้นในปีนี้

  • ปรับความคาดหวังที่มีต่อตลาดหุ้น: ในปี 2566 ตลาดหุ้นได้แสดงความยืดหยุ่นให้เห็นซึ่งตรงข้ามกับที่เคยคาดกันไว้เมื่อตอนต้นปี ในขณะที่พันธบัตรทำผลงานได้หลากหลายทั้งดีและแย่ และกลยุทธ์ของ Fed ในการจัดการเงินเฟ้อก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างที่คาดกันไว้ ในส่วนของหุ้นจีนก็ให้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย ซึ่งการที่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงออกมาแตกต่างจากคาดการณ์กันไว้ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของตลาดการเงินและความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2567
  • การถือกำเนิดของ AI ในเทคโนโลยีและอื่นๆ: ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ถือเป็นการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่สำคัญ บริษัทต่างๆ เช่น Microsoft, Google, Meta และ Amazon กำลังลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในเทคโนโลยี AI ซึ่งความสนใจที่เพิ่มขึ้นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน generative AI มีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิวัติภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่การพัฒนาซอฟต์แวร์ไปจนถึงการบริการลูกค้า หรือแม้แต่กลยุทธ์ทางธุรกิจระดับโลก อย่างไรก็ตาม อัตราการนำไปใช้จริงและผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่ยังคงต้องติดตามในปี 2567
  • แรงกดดันในการต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยีของบริษัทขนาดใหญ่: บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอาจเผชิญกับแรงกดดันด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตัดสินใจทางกฎหมายที่สำคัญที่ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google รวมถึงการบังคับใช้พระราชบัญญัติการตลาดดิจิทัลฉบับใหม่ของสหภาพยุโรปที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการดำเนินการของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ รวมถึงเพิ่มทางเลือกในการให้บริการดิจิทัลสำหรับผู้บริโภค และนำเสนอทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับนักลงทุน
  • การเปลี่ยนแปลงของ Private Equity และภาคการเงิน: Blackstone บริษัทจัดการลงทุนใน Private Equity รายใหญ่ที่ปัจจุบันเปิดให้ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์และกำลังได้รับความสนใจอย่างมากกำลังจะถูกรวมเข้าไปคำนวณในดัชนี S&P 500 ซึ่งการก้าวออกสู่สาธารณะรวมถึงการที่นักลงทุนรายย่อยแห่กันเข้ามายังธุรกิจนี้สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการลงทุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันที่เกี่ยวข้องกับ Private Equity ได้ก่อให้เกิดความกังวลว่า Private Equity อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของภาคการเงินและเศรษฐกิจในวงกว้างได้
  • บุคคลสำคัญและผลกระทบทางการเมืองระดับโลก: ในขณะที่โลกก้าวเข้าสู่ปี 2567 ผู้คนต่างพุ่งความสนใจไปที่บุคคลที่มีอิทธิพลในแวดวงต่างๆ เช่น Sam Altman แห่ง OpenAI รวมถึงการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อผลจากการกระทำของบุคคลเหล่านี้เมื่อรวมเข้ากับสภาพภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเช่นยูเครน เอเชียตะวันออก และตะวันออกกลาง จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่ภาคเทคโนโลยีไปจนถึงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงาน
  • ความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือย: ภาคธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือยประสบภาวะถดถอยตลอดทั้งปี 2566 โดยคาดกันว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงอีกในปี 2567 เนื่องจากยอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาดของโรคระบาดได้จบลงแล้วโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เป็นชนชั้นกลาง โดยตลาดสำคัญที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือที่จีน ซึ่งถึงแม้ที่ผ่านมาจะต้องเผชิญกับความท้าทายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากการล็อกดาวน์โควิด-19 และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็เป็นประเทศที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของภาคธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือย
  • การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ: โดรนราคาถูกและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในสงครามสมัยใหม่ เช่นที่ยูเครน ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศต้องปรับตัวครั้งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนแปลงระบบอาวุธแบบดั้งเดิมให้มีเทคโนโลยีที่สูงขึ้นและมีความคล่องตัวมากขึ้น ดังนั้น ความสามารถในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ในสนามรบที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศถือเป็นหัวใจที่สำคัญ
  • การปรับสมดุลของกลุ่มพลังงาน: การลดการผลิตน้ำมันของ OPEC+ ซึ่งสวนทางกับฝั่งสหรัฐฯ ที่เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกของ OPEC+ ลดลง ซึ่งการปรับสมดุลของราคาพลังงานครั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการใช้น้ำมันที่ผันผวน โดยเฉพาะจากประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อย่างเช่นจีน ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดน้ำมันโลก
  • ความท้าทายด้านต้นทุนของพลังงานทดแทน: อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงและอัตราเงินเฟ้อได้เพิ่มต้นทุนของโครงการพลังงานหมุนเวียนจนอาจมีการชะลอการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานในปี 2567 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมนอกชายฝั่งที่กำลังเผชิญกับอุปสรรคครั้งสำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น Ørsted
  • บทบาทของ AI ที่มีต่อการวางกลยุทธ์ขององค์กร: การบูรณาการ AI เข้ากับกลยุทธ์ขององค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยีกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี generative AI อาจเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ของโมเดลธุรกิจและประสิทธิภาพการทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ ทำให้บริษัทที่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทจะมีความได้เปรียบเหนือกว่าบริษัทอื่นๆ
  • การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินทั่วโลก: คาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยอีกมากกว่า 150 ครั้งตลอดช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากนโยบายการเงินในยุค Covid การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุน, ความเคลื่อนไหวของค่าเงิน และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก
  • ความมั่นคงของภาคธนาคาร: ความยืดหยุ่นของภาคธนาคารโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจยังคงมีความสำคัญ โดยการตอบสนองของภาคธนาคารต่ออัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนและสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันจะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินทั่วโลก
  • บทบาทของประเทศตลาดเกิดใหม่: ประเทศตลาดเกิดใหม่อาจมีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน รวมถึงผลกระทบของ COVID ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ทำให้ประสิทธิภาพของตลาดเกิดใหม่กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการค้าโลก กระแสการลงทุน และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
  • ความกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในโลกดิจิทัล: เนื่องจากภาคธุรกิจและภาครัฐบาลในหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนระบบเป็นดิจิทัลกันมากขึ้น ทำให้ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม บริษัทและประเทศต่างๆ จะต้องลงทุนในด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องข้อมูลละเอียดอ่อนและโครงสร้างพื้นฐานจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น
  • ความยั่งยืนและการลงทุนใน ESG: การมุ่งเน้นไปที่เกณฑ์ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ในการตัดสินใจลงทุนจะยังคงเติบโตต่อไป ส่งผลให้บริษัทที่ให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติที่เน้นความยั่งยืนและการปฏิบัติตามแนวคิด ESG มีแนวโน้มที่จะดึงดูดการลงทุนและการสนับสนุนจากผู้บริโภคมากขึ้น

สรุป:

เมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2567 สถานการณ์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินของโลกได้สะท้อนให้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งการมาบรรจบกันของกระบวนทัศน์ทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป (โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี AI) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงนโยบายการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งภาพทั้งหมดนี้ได้หล่อหลอมให้เกิดเป็นปีแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้เราจะอยู่ในปีแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่ประเด็นของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของประเทศตลาดเกิดใหม่ก็ยังคงส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพลวัตทางเศรษฐกิจของโลก นักลงทุนและนักธุรกิจจำเป็นต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการปรับตัวที่รวดเร็วเพื่อเปิดรับโอกาสและความท้าทายที่จะมาถึงในปีใหม่นี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงในปีนี้อาจไม่ได้เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว แต่อาจเป็นการกำหนดมาตรฐานและกลยุทธ์ของตลาดขึ้นมาใหม่ ทำให้เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจของโลกอย่างลึกซึ้ง
ในที่สุด ปี 2566 ก็ได้สิ้นสุดลง เราขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่รุ่งเรืองสำหรับนักลงทุนทุกคน!