ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการปรับตัวขึ้นครั้งนี้เป็นการจุดประกายความหวังให้กับนักลงทุนในวอลล์สตรีทได้อีกครั้ง การพุ่งขึ้นในครั้งนี้ยังคงได้รับการหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี AI ของ Nvidia และความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง Alphabet และ Apple ที่แสดงถึงอิทธิพลของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีต่อความเคลื่อนไหวของตลาด นอกจากนี้การคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายการของธนาคารกลางสหรัฐในอนาคตยังชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างความคาดหวังและกลยุทธ์ของนักลงทุนในการเดินทางผ่านสภาพแวดล้อมของความไม่แน่นอนและโอกาสทางเศรษฐกิจ

สรุปประเด็นที่ควรจับตา:
ดัชนี Dow Jones และ S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางการพุ่งของหุ้นเทคโนโลยี: ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวเพิ่มขึ้น 75.66 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ 38,790.43 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 ก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 32.33 จุด หรือ 0.63% ปิดตลาดที่ 5,149.42 จุด
Nasdaq ปิดตลาดที่ +0.82% จากหุ้นเทคโนโลยีที่พุ่งสูงขึ้น: ดัชนี Nasdaq Composite ปรับตัวสูงขึ้น 0.82% ปิดตลาดที่ 16,103.45 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากพัฒนาการที่สำคัญในแวดวงเทคโนโลยีและความตื่นตัวของนักลงทุน
หุ้น Nvidia และ Alphabet พุ่งขึ้นจากนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์และความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้น: หุ้น Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวชิปสำหรับ AI รุ่นใหม่ในชื่อว่า Blackwell ที่จะเริ่มวางจำหน่ายภายในปีนี้ ส่วนหุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 4.6% หลังมีรายงานว่ากำลังเจรจากับ Apple เพื่อนำ Gemini มาใช้งานบนไอโฟน ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทสำคัญของพัฒนาการด้าน AI ที่มีต่อราคาหุ้น
ตลาดหุ้นยุโรปแสดงความยืดหยุ่นก่อนการประชุม Fed: ดัชนีหุ้น Stoxx 600 ปรับตัวลงเล็กน้อยเพียง 0.1% โดยหุ้นในกลุ่มสื่อสารปรับตัวลดลง 1.4% แต่หุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจที่หลากหลายของภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ดัชนี DAX ของเยอรมนียังคงทรงตัว ในขณะที่ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษและ CAC 40 ของฝรั่งเศสปรับตัวลงเล็กน้อยที่ 0.06% และ 0.2% ตามลำดับ
ตลาดหุ้นเอเชียแสดงความแข็งแกร่ง นำโดยญี่ปุ่นและจีน: ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการปรับตัวขึ้นของภูมิภาคเอเชีย โดยปิดตลาดเพิ่มขึ้น 2.67% ที่ 39,740.44 จุด ขณะที่ดัชนี Topix พุ่งขึ้น 1.92% ปิดตลาดที่ 2,721.99 จุด ในส่วนของดัชนี CSI 300 ของจีนเพิ่มขึ้น 0.94% แตะที่ 3,603.53 จุด หลังทำสถิติปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ดีกว่าคาดในช่วงต้นปี และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ปิดบวก 0.72% แตะที่ 2,685.84 จุด

FX วันนี้

EUR/USD เผชิญแรงกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐสูง: คู่เงิน EUR/USD เผชิญโมเมนตัมในทางลบ โดยร่วงแรงผ่านระดับ 1.0872 จนลงมาซื้อขายกันที่ระดับต่ำกว่า 1.0870 โดยในขณะนี้คู่เงินดังกล่าวกำลังทดสอบแนวรับที่เส้น Moving Average 100 วัน ที่ระดับ 1.0860 เป็นการส่งสัญญาณเพิ่มเติมถึงแนวโน้มทางลบ โดยมีแนวรับสำคัญที่เส้น Moving Average 50 วัน ที่ 1.0850 และ 200 วัน ที่ 1.0838 ขณะที่มีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1.0900
USD/JPY พุ่งแรงผ่านระดับ 149.00: คู่เงิน USD/JPY ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยพุ่งผ่านระดับ 149.00 ในขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งโมเมนตัมเชิงบวกของได้รับการสนับสนุนจากการที่คู่เงินสามารถพุ่งทะลุเส้น SMA 200 ชั่วโมงได้สำเร็จ รวมถึงมีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นทดสอบระดับแนวต้านสำคัญบริเวณ 151.00
GBP/USD ยังคงถูกกดดันจากดอลลาร์สหรัฐ: คู่เงิน GBP/USD ตอบสนองต่อความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐ โดยซื้อขายอยู่ในกรอบแคบๆ บริเวณ 1.2700 ซึ่งการเคลื่อนไหวของคู่เงินยังคงถูกจำกัดโดยนักลงทุนที่รอคอยการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจและแนวโน้มนโยบายของธนาคารกลาง
ดอลลาร์แคนาดาคงเคลื่อนไหวทรงตัวรอนโยบายของธนาคารกลาง: คู่เงิน USD/CAD มีการซื้อขายทรงตัวอยู่ที่บริเวณ 1.3550 โดยมีแนวรับทางเทคนิคอยู่ที่ 1.3500 ซึ่งสะท้อนท่าทีระมัดระวังของตลาดขณะรอฟังการอัปเดตแนวโน้มนโยบายการเงินจากธนาคารกลาง
AUD/USD ทดสอบแนวรับสำคัญท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด: คู่เงิน AUD/USD ร่วงลงมาทดสอบแนวรับที่เส้น SMA 200 วัน บริเวณ 0.6550 การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุนก่อนการเปิดเผยข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของสกุลเงิน รวมถึงความคาดหวังที่ว่าธนาคารกลางออสเตรเลียจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม
สัญญาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบทะยานสูงสุดรอบ 4 เดือน ท่ามกลางความกังวลด้านอุปทาน: สัญญาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบพุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเมษายนปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.1% ปิดที่ 82.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งแนวโน้มขาขึ้นครั้งนี้ได้รับปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ควบคู่ไปกับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของจีน รวมถึงข่าวการลดการส่งออกน้ำมันของอิรักและความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาดน้ำมันเบนซิน ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ Brent งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.8% แตะที่ระดับ 86.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นระหว่างรอการประกาศนโยบายของ Fed: ราคาทองคำยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้น โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 2,160-2,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่นักลงทุนต่างรอการประกาศนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งการทรงตัวอยู่ใกล้ขอบล่างของกรอบดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าฝ่าย buyers ยังเป็นฝ่ายที่ควบคุมตลาด โดยอาจมีราคาเป้าหมายที่ระดับสูงสุดของปี ที่ 2,195.15 ดอลลาร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับระดับสำคัญที่ 2,200 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากราคาทองร่วงลงต่ำกว่า 2,160 ดอลลาร์ ก็อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับสำคัญ

ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น

หุ้น Alphabet ปรับตัวขึ้นจากความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้นกับ Apple: หุ้น Alphabet (GOOGL) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก โดยปิดตลาดบวกได้กว่า 4% หลังมีรายงานว่า Apple กำลังพิจารณาที่จะบรรจุระบบ AI Gemini ของ Google ลงในไอโฟน
หุ้น Tesla พุ่งหลังประกาศขึ้นราคารถ: หุ้น Tesla ปิดตลาดบวกได้กว่า 6% หลังบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ประกาศขึ้นราคารถ Model Y ในสหรัฐอีก 1,000 ดอลลาร์ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน
หุ้น Nuvei Corp พุ่งแรงจากข่าวการเจรจาซื้อกิจการ: หุ้น Nuvei Corp (NVEI) ปิดบวกกว่า 30% หลังมีข่าวว่า Advent International กำลังเจรจาซื้อกิจการบริษัทประมวลผลการชำระเงินแห่งนี้
HashiCorp อยู่ระหว่างการพิจารณากลยุทธ์ ส่งหุ้นปรับขึ้น: หุ้นของ HashiCorp (HCP) พุ่งขึ้นกว่า 8% ท่ามกลางรายงานว่าบริษัทซอฟต์แวร์คลาวด์ดังกล่าวกำลังพิจารณาทางเลือกด้านกลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงการขายกิจการ
โบรกเกอร์ปรับคำแนะนำของหุ้น PepsiCo ทำหุ้นพุ่ง: หุ้น PepsiCo (PEP) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% หลัง Morgan Stanley ปรับคำแนะนำจากเดิมที่ระดับปกติมาเป็นเพิ่มน้ำหนักการลงทุน โดยเชื่อว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ซึ่งการปรับคำแนะนำครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นในตำแหน่งทางการตลาดของ PepsiCo รวมถึงความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หุ้น Science Applications International ร่วงหนักหลังผลกำไรพลาดเป้า: หุ้นของ Science Applications International (SAIC) ปรับตัวร่วงแรงกว่า 10% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ออกมาแย่กว่าที่นักลงทุนคาด รวมถึงมีการคาดการณ์กำไรปี 2025 ในทิศทางที่ไม่สู้ดีนัก
หุ้น Shift4 Payments ร่วงแรงหลังการเจรจาขายกิจการ: หุ้นของ Shift4 Payments (FOUR) ปิดตลาดลบกว่า 6% หลังประธานเจ้าหน้าที่บริหารแสดงความไม่พอใจต่อการประเมินมูลค่าจากผู้สนใจซื้อกิจการ สะท้อนความท้าทายในการให้ได้มูลค่ายุติธรรมสำหรับบริษัทประมวลผลการชำระเงินรายนี้
Boeing ราคาร่วงหลังถูกสอบสวน: หุ้น Boeing (BA) ร่วงกว่า 1% กลายเป็นผู้นำการปรับตัวลงในกลุ่มหุ้นที่อยู่ในดัชนี Dow Jones หลังมีรายงานว่าบริษัทกำลังถูกสอบสวนจากสงสัยในการละเมิดกฎหมายอาญาของรัฐบาลกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตอากาศยานยักษ์ใหญ่รายนี้
เมื่อตลาดปิดการซื้อขายประจำวันลงด้วยการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถพลิกฟื้นตัวได้อย่างน่าสนใจ และความคาดหวังที่มีต่อการประชุมธนาคารกลางที่กำลังจะมาถึง ทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่ให้ความสนใจในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจากความก้าวหน้าในด้านปัญญาประดิษฐ์และความเคลื่อนไหวของบริษัทต่างๆ ในตลาดหุ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกเดินทางมาถึงช่วงเวลาที่สำคัญ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นการสะท้อนมุมมองในภาพรวมของนักลงทุน ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างความหวังในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความระมัดระวังต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ในขณะที่นักลงทุนเดินหน้าสู่สถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ผลลัพธ์จากการประชุมของธนาคารกลางต่างๆ ที่กำลังจะมาถึงและนัยสำคัญที่มีต่อเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดในสัปดาห์ต่อๆ ไป