ตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ โดยทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ต่างพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ การปรับตัวสูงขึ้นนี้ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงและผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีทั้งสองสามารถฟื้นตัวจากการปรับฐานลงก่อนหน้าและสร้างระดับที่ถือเป็นฐานราคาใหม่สำหรับการซื้อขายในอนาคต หุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Intel เป็นผู้นำในการฟื้นตัวของดัชนี Dow ในครั้งนี้ ซึ่งมุมมองเชิงบวกของตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ปรับปรุงใหม่ของธนาคารกลางยุโรป และสัญญาณจากประธานธนาคารกลางสหรัฐว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้น เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มแรงขับเคลื่อนและฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้กับวอลล์สตรีท



สรุปประเด็นที่ควรจับตา:

ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่: ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 1% ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดใหม่ ในขณะที่ Nasdaq Composite พุ่งขึ้น 1.5% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การปรับตัวขึ้นครั้งนี้ถือเป็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งช่วยล้างภาพการปรับฐานในระยะก่อนหน้าและสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี
ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวขึ้น: แม้จะเป็นดัชนีที่ปรับตัวช้ากว่าดัชนีอื่นๆ แต่ Dow Jones Industrial Average ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% หรือ 117 จุด ปิดที่ 39,598.71 จุด สะท้อนถึงมุมมองแง่บวกของนักลงทุนอย่างต่อเนื่องในดัชนีของตลาดหลักๆ
ตลาดยุโรปตอบรับเชิงบวกต่อการคาดการณ์ของธนาคารกลางยุโรป: หุ้นยุโรปตอบรับด้วยดีต่อการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจล่าสุดของธนาคารกลางยุโรป โดยดัชนี Stoxx 600 ปรับตัวขึ้น 1.05% ทะลุระดับ 500 จุดเป็นครั้งแรก หลังการประกาศของธนาคารกลางยุโรปและการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ตลาดเอเชียเคลื่อนไหวผสมผสานท่ามกลางแนวโน้มโลก: ดัชนี Nikkei 225 มีการปรับฐานจากระดับสูงสุด ปิดลบ 1.2% ขณะที่ดัชนีหุ้นไต้หวันและดัชนี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลียทำสถิติสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันของตลาดเอเชียต่อสัญญาณทางเศรษฐกิจโลกและนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ
หุ้นเทคโนโลยีเป็นผู้นำการพุ่งขึ้นของตลาด: หุ้นเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการสื่อสารเป็นผู้นำในการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 สู่ระดับสูงสุด โดยเฉพาะ Intel ที่เป็นผู้นำในการปรับตัวขึ้นของดัชนี Dow Jones ที่บวกขึ้นกว่า 3% ซึ่งตอกย้ำบทบาทสำคัญของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่อการดีดตัวขึ้นของตลาด
นโยบายของธนาคารกลางหนุนมุมมองในแง่บวก: การประกาศคาดการณ์เงินเฟ้อประจำปีที่ลดลงของธนาคารกลางยุโรป และการแสดงความเห็นของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้นำความหวังมาสู่ตลาดและส่งผลให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้น โดยนายพาวเวลล์กล่าวถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยว่าขึ้นอยู่กับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อมุมมองของตลาด

FX วันนี้

EUR/USD ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ย: คู่เงิน EUR/USD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขึ้นมาซื้อขายเหนือระดับ 1.0830 เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากธนาคารกลางยุโรปมีการปรับตัวเลขการคาดการณ์ คู่เงิน EUR/USD แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้วยการเด้งกลับจากระดับต่ำสุดที่ 1.0870 ไปสู่ระดับสูงสุดที่ 1.0942 สะท้อนถึงมุมมองแง่บวกในตลาดเงินตราต่างประเทศเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงและนโยบายการเงินของธนาคารกลาง


GBP/USD เคลื่อนไหวใกล้ระดับแนวต้านสำคัญในขณะบรรยากาศในตลาดเริ่มสดใส: คู่เงิน GBP/USD แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในด้านบวก โดยดีดตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 1.2800 พร้อมทำจุดสูงสุดที่ 1.2797 การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการคาดการณ์งบประมาณฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนมีทัศนคติเชิงบวกต่อนโยบายทางเศรษฐกิจและผลกระทบที่มีต่อเงินปอนด์อังกฤษ การเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้ชี้ว่าตลาดกำลังจับตาดูแนวโน้มของนโยบายที่อาจส่งผลต่อการซื้อขายในอนาคต
USD/JPY มีความเคลื่อนไหวขณะนักลงทุนจับตาท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่น: จากการแสดงความเห็นในเชิงผ่อนคลายของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น ส่งผลให้คู่เงิน USD/JPY พุ่งขึ้นทะลุระดับ 150.00 และมุ่งสู่แนวต้านต่อไปที่ด้านบน การแข็งค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สะท้อนว่านักลงทุนจับตาดูนโยบายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและความเป็นไปได้ในการปรับอัตราดอกเบี้ย ตอกย้ำแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางชั้นนำของโลก
AUD/USD พุ่งขึ้นด้วยแรงหนุนจากความคาดหวังของการลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของสินค้าโภคภัณฑ์: ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการชี้นำของนายเจอโรม พาวเวลล์ เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตและการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของคู่เงิน AUD/USD ทะลุระดับแนวต้านสำคัญที่ 0.6640 เป็นการสะท้อนปฏิกิริยาของตลาดต่อสัญญาณเศรษฐกิจโลกและสัญญาณจากธนาคารกลาง
CAD แข็งค่าจากราคาน้ำมันที่ส่งผลกระทบกับตลาด: ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาแสดงให้เห็นถึงการแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยคู่เงิน USD/CAD ขึ้นทดสอบแนวรับที่ระดับ 1.3460 การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความผันผวนของราคาน้ำมันและคำพูดของนายพาวเวลล์เกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ย สะท้อนธรรมชาติที่เชื่อมโยงกันของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดเงินตรา
ราคาทองคำพุ่งสู่จุดสูงสุดใหม่ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ: ราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ 2,164.78 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ การปรับตัวขึ้นในรอบนี้เป็นผลจากการที่นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ สะท้อนความน่าดึงดูดของทองคำในช่วงเวลาที่มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
น้ำมันดิบผันผวนตามปัจจัยอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก: ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวผันผวน โดยน้ำมันดิบ WTI ซื้อขายกันอยู่ที่บริเวณ 78.93 ดอลลาร์สหรัฐ และน้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวอยู่ที่ 82.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากการคาดการณ์อุปสงค์ในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การตัดสินใจในการผลิตของกลุ่ม OPEC+และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงาน

ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น

หุ้น Nvidia และ Apple เป็นผู้นำในการปรับตัวขึ้นของ Nasdaq: การพุ่งขึ้นของดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นกว่า 3% ของหุ้น Nvidia ผู้นำด้านเทคโนโลยี AI โดยหุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นกว่า 11% ในสัปดาห์นี้ ส่วนหุ้น Apple ก็ช่วยหนุนการพุ่งขึ้นของตลาดเช่นกัน สะท้อนถึงอิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต่อความเคลื่อนไหวของตลาด
หุ้น Virgin Money พุ่งแรงจากข่าวการเข้าซื้อกิจการ: หุ้นของบริษัทที่ให้บริการทางการเงิน Virgin Money พุ่งขึ้น 36% หลังมีการประกาศว่าจะถูกเข้าซื้อกิจการโดยธนาคาร Nationwide แห่งสหราชอาณาจักร ด้วยมูลค่า 2.9 พันล้านปอนด์ การปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในครั้งนี้สะท้อนถึงผลกระทบของการควบรวมและการเข้าซื้อกิจการต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและมูลค่าหุ้น
หุ้น Teleperformance ร่วงลงจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัท: หุ้นของบริษัท Teleperformance ดิ่งลง 17.7% หลังบริษัทไม่สามารถทำรายได้ให้ถึงเป้าหมายประจำปีได้ และระบุถึงโอกาสการเติบโตที่จำกัดในปีถัดไป การร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญในครั้งนี้สะท้อนถึงปฏิกิริยาของตลาดต่อความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในการบรรลุเป้าหมายอัตราการเติบโตที่คาดการณ์ไว้
หุ้น Gap พุ่งขึ้นจากผลประกอบการช่วงวันหยุดที่แข็งแกร่ง: หุ้นของ Gap พุ่งขึ้นถึง 9% หลังบริษัทรายงานผลประกอบการออกมาสูงกว่าที่คาด ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับมาเติบโตของแบรนด์ Old Navy และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น


หุ้น Kroger โดดเด่นจากคาดการณ์กำไรที่สดใส: หุ้น Kroger ปิดบวกกว่า 9% เป็นผู้นำการปรับตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 หลังบริษัทรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4 สูงกว่าที่คาดการณ์ และยังมีการคาดการณ์ผลกำไรที่สดใสสำหรับปี 2025 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
หุ้น Edwards Lifesciences ได้รับแรงหนุนจากการปรับคำแนะนำของโบรกเกอร์: หุ้น Edwards Lifesciences ปรับตัวขึ้นจากการปรับคำแนะนำมาเป็น “ซื้อ” จากเดิมที่ “เป็นกลาง” โดยแผนกวิเคราะห์ของ Bank of America พร้อมกำหนดราคาเป้าหมายอยู่ที่ 105 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำให้หุ้นปิดบวกได้มากกว่า 5% การปรับอันดับดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแนวทางการเติบโตและนวัตกรรมของบริษัท
Victoria’s Secret ยอดขายทรุด: หุ้น Victoria’s Secret ร่วงลงกว่า 29% หลังยอดขายสุทธิประจำไตรมาส 4 ลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย และบริษัทยังคาดการณ์ยอดขายสุทธิไตรมาส 1 ว่าอาจลดลงได้อีก ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท
หุ้น Methode Electronics ร่วงกว่า 31% หลังยอดขายออกมาต่ำกว่าเป้า: ราคาหุ้นของ Methode Electronics ร่วงอย่างหนักกว่า 31% หลังบริษัทฯ รายงานยอดขายสุทธิประจำไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนภาพความท้าทายที่บริษัทต้องเผชิญในการบรรลุเป้าหมายรายได้
Ciena ร่วงแรงจากหลังเปิดเผยข่าวร้าย: ราคาหุ้น Ciena ร่วงกว่า 14% หลังจาก CEO ของบริษัท ออกมาแถลงถึงความล่าช้าของผู้ให้บริการในการระบายสินค้าคงคลังจำนวนมาก ซึ่งเป็นการบ่งชี้เกี่ยวกับอุปสรรคและความท้าทายที่อาจส่งผลต่อยอดขายและแนวโน้มการเติบโตของบริษัท
ในสัปดาห์นี้ ทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างขยับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้สำเร็จ เป็นการสะท้อนความคึกคักของตลาดหุ้นซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี, ภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มคลี่คลาย และทีท่าที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะการปรับตัวเลขประมาณการของธนาคารกลางยุโรป และสัญญาณของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เป็นข่าวที่ช่วยกระตุ้นความคึกคักของตลาดการเงิน ส่วนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia และ Intel ก็เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดหุ้นที่สะท้อนถึงบทบาทของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในการชี้นำแนวโน้มของตลาด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ พร้อมมองหาโมเมนตัมของการเติบโตที่ยั่งยืนท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก