การบริหารความเสี่ยงเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่คุณควรฝึกฝนให้เชี่ยวชาญหากคุณมีเป้าหมายที่จะทำให้พอร์ทของคุณโต เพราะแม้แต่เทรดเดอร์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ถ้าหากขาดทักษะการบริหารความเสี่ยงที่ดี
คุณอาจเริ่มต้นการซื้อขายได้ถูกจังหวะพร้อมทำกำไรจากหุ้นหรือ Forex ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่มีแผนการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม การซื้อขายที่ผิดพลาดแค่ครั้งเดียวก็อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพอร์ทของคุณในภาพรวมได้
บทความโดยสรุป:
- กลยุทธ์และเทคนิคการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ช่วยจำกัดการขาดทุนให้คุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณซื้อขายโดยใช้มาร์จิน
- Stop loss, take profit และการควบคุมขนาดของโพสิชันที่ใช้ในการซื้อขายให้เหมาะสม เป็นเครื่องมือสำหรับบริหารความเสี่ยงที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง
- การคำนวนผลกำไรที่คาดหวังในการซื้อขายช่วยให้คุณสามารถกำหนดจุดเข้าและจุดออกที่เหมาะสมได้
- กลยุุทธ์ที่นิยมใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยง เช่น การกระจายความเสี่ยง และการ hedging
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของคุณยังสามารถช่วยให้คุณสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว
รู้จักกับการบริหารความเสี่ยงในการซื้อขาย?
ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงสำหรับการซื้อขายถูกออกแบบขึ้นเพื่อควบคุมการขาดทุนในการซื้อขาย และช่วยให้บัญชีซื้อขายของคุณอยู่รอดสำหรับการซื้อขายในวันต่อๆไป การบริหารความเสี่ยงที่ดีจะช่วยลดความเสียหายของพอร์ทโดยรวม รวมถึงช่วยตัดอารมณ์ออกจากการตัดสินใจซื้อขาย
เทรดเดอร์สามารถที่จะสินใจผิดพลาด และถือสถานะที่ขาดทุนไว้นานเกินกว่าที่ควรเพื่อหวังว่าราคาสินทรัพย์จะกลับมาสู่จุดที่หวังไว้ อย่าลืมว่าการทำแบบนั้นมีโอกาสที่จะทำให้การขาดทุนหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น หรือแม้แต่อาจกลับมาเท่าทุน หรือกำไรได้เช่นกัน
การบริหารความเสี่ยงมักเป็นปัจจัยลำดับท้ายๆที่เทรดเดอร์มือใหม่จะคิดถึงเมื่อทำการซื้อขาย แต่ถ้าหากปราศจากการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมถึง risk and reward ratio ที่ดีพอ การจะสามารถอยู่รอดและทำกำไรได้ในระยะยาวนั้นเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ทำไมการบริหารความเสี่ยงถึงสำคัญต่อการซื้อขาย?
เทรดเดอร์ที่ชอบซื้อขายแบบจบภายในวันมักจะชอบใช้เลเวอเรจในการซื้อขาย โดยเลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์ทำกำไรได้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ตัวอย่างเช่น ใช้เลเวอเรจ 5x หมายความว่าคุณสามารถซื้อขายหรือเปิดสถานะที่ใหญ่ขึ้น 5 เท่า บนสินทรัพย์ที่คุณต้องการโดยใช้จำนวนเงินเท่าเดิม
ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะฟังดูน่าดึงดูด แต่เลเวอเรจก็มาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล คุณสามารถทำกำไรได้มากขึ้น 5 เท่า แต่คุณก็สามารถขาดทุนได้สูงขึ้น 5 เท่าเช่นกัน
แม้แต่เทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดก็ยังต้องพบกับช่วงเวลาเหล่านี้:
- คุณเจอกับการซื้อขายที่ขาดทุนติดๆกันหลายครั้ง
- คุุณเจอกับการขาดทุนครั้งใหญ่เมื่อราคากระโดดข้ามจุด stop loss ของคุณ
- กลยุทธการซื้อขายที่เคยทำกำไรได้ดีกลับทำให้คุณขาดทุนติดกันหลายครั้ง
ถ้าหากคุณไม่ได้มีกลยุทธการบริหารความเสี่ยงที่ดี ทุกสิ่งข้างต้นสามารถส่งผลร้ายกับพอร์ทของคุณ ทั้ง:
- สูญเสียเงินลงคุณทั้งหมดของคุณ
- ประสบกับการขาดทุนครั้งใหญ่
- ถูกบังคับให้ต้องปิดสถานะในจุดที่คุณไม่ต้องการเนื่องจากมีเงินหลักประกันในบัญชีไม่เพียงพอ
เมื่อคุณต้องวางเดิมพันโดยใช้เงินที่คุณหามาได้อย่างยากลำบาก บางครั้งอารมณ์ของคุณจะบดบังเหตุผลและทำให้คุณตัดสินใจได้แย่ลง ซึ่งการตัดสินใจแย่ๆในตลาดอาจส่งผลให้คุณประสบปัญหาทางการเงินครั้งใหญ่
วิธีบริหารจัดการความเสี่ยง
ขั้นตอนแรกของการบริหารความเสี่ยงในการซื้อขายคือการวางแผนทุกครั้งก่อนเข้าซื้อขาย เรามีคำกล่าวที่ว่า "วางแผนการซื้อขายและซื้อขายตามแผน" ถ้าคุณไม่ได้วางแผนล่วงหน้าก็เหมือนกับคุณเดินเข้าตลาดที่บ้าคลั่งโดยปล่อยให้อารมณ์นำทาง และด้วยการที่ไม่มีจุดออกที่เหมาะสม เท่ากับคุณปล่อยให้ความเสียหายลุกลามจนอยู่เหนือการควบคุม
ในการวางแผนให้รัดกุม เราจะเริ่มต้นด้วยการพิจารณาถึงเทคนิคการจัดการความเสี่ยงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการหาความรู้ทางการลงทุน
เครื่องมือสำหรับบริหารความเสี่ยง
เครื่องมือ 2 เครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงที่นิยมใช้กัน ได้แก่การใช้คำสั่ง stop loss และ take profit
- Stop loss: หรือการตัดขาดทุน คือคำสั่งที่ให้โบรกเกอร์ปิดสถานะของคุณแล้วหนีออกมาเมื่อการขาดทุนมาถึงจุดที่กำหนดไว้ ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยควบคุมความเสียหายเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคาดไว้
- Take profit: หรือการทำกำไร คือการที่คุณส่งคำสั่งให้ปิดสถานะของคุณเมื่อตลาดเคลื่นไหวมาถึงจุดที่กำหนด และคุณได้กำไรตามที่คาดการณ์ไว้แล้ว ซึ่งคำสั่งนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนตัวมาถึงจุดที่คุณคาดหวังแล้ว แต่บางครั้งเทรดเดอร์ก็ยังไม่ปิดสถานะเพื่อทำกำไรตามแผนเพราะหวังว่าราคาจะยังปรับตัวในทิศทางที่คาดหวังต่อไป ซึ่งการทำแบบนี้อาจส่งผลให้การซื้อขายที่กำไรอาจวกกลับมาเป็นขาดทุนได้
- การควบคุมขนาดโพสิชัน: การควบคุมขนาดโพสิชันให้เหมาะสมคือการที่เทรดเดอร์เลือกซื้อขายสินทรัพย์ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มาก หรือไม่น้อยจนเกินไป ซึ่งการกำหนดขนาดโพสิชันจะคิดจากจำนวนเงินทุนทั้งหมดที่คุณมี และความเสียหายที่คุณยอมรับได้
หลักการคำนวนแบบง่ายๆ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่ยอมให้เกิดความเสียหายเกินกว่า 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการซื้อขาย 1 ครั้ง คำสั่ง Stop loss และ take profit สามารถใช้เพื่อกำหนดขนาดของโพสิชันและจุดเข้า-ออก ได้
Stop loss, take profit และการกำหนดขนาดโพสิชันเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการประสบความสำเร็จในระยะยาว
การคำนวนความเสี่ยง
การคำนวนผลตอบแทนจากการซื้อขาย ช่วยให้เทรดเดอร์กำหนดแผนการซื้อขายเพื่อทำกำไรสูงสุด โดยจะคำนวนจากผลตอบแทนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ต่างๆ
ผลตอบแทนที่คาดหวัง = (ผลตอบแทนที่คาดหวังหากเกิตเหตุการณ์ 1 x ความน่าจะเป็น) + (ผลตอบแทนที่คาดหวังหากเกิตเหตุการณ์ 1 x ความน่าจะเป็น) + …
ความน่าจะเป็นของผลตอบแทนที่คาดหวัง (ทั้งกำไรและขาดทุน) สามารถประมาณได้โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคกับกราฟราคาในอดีต ในขณะเดียวกัน เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สูงๆสามารถใช้การประเมินตลาดในการกำหนดความน่าจะเป็นของตนเองได้
กลยุทธ์การควบคุมความเสี่ยง
กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่นิยมใช้กันมากที่สุด 2 กลยุทธ์ ได้แก่ การกระจายความเสี่ยง และการ hedging
- การกระจายความเสี่ยง: เทรดเดอร์หลายคนมีการกระจายความเสี่ยงในประเภทของสินค้าที่ตนซื้อขาย แต่ยังมีการกระจายความเสี่ยงอีกประเภทที่ควรพิจารณา ได้แก่ การกระจายความเสี่ยงผ่านเครื่องมือที่หลากหลาย เทรดเดอร์สามารถกระจายความเสี่ยงโดยซื้อขายในหลากหลายอุตสาหกรรม, ซื้อขายทั้งในตลาดขนาดใหญ่และเล็ก รวมถึงซื้อขายสินทรัพย์ในหลากหลายภูมิภาคโดยแนวคิดเบื้องหลังการกระจายความเสี่ยงคือกำไรจากสินทรัพย์ที่หลากหลาย จะสามารถหักลบกลบหนี้หากสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเกิดการขาดทุนได้
- Hedging: เทรดเดอร์บางคนชอบที่จะ hedge สถานะของตัวเอง ซึ่งการ hedge หมายถึงการที่เทรดเดอร์เปิดสถานะในสินทรัพย์ตัวอื่นๆ ที่ปกติแล้วมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับสินทรัพย์ที่ตนเองถืออยู่ ถึงแม้ว่าการ hedge จะช่วยลดความเสี่ยง แต่ก็เป็นการจำกัดผลตอบแทนด้วยเช่นกัน ซึ่งตราสาร CFD เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้เพื่อการ hedge เพราะสามารถเล่น Short ได้อย่างยืดหยุ่นและง่ายดาย